#เข็มทิศภาวนาอินเดีย #day1
14 พ.ย. 58
เป็นอีกหนึ่งวันที่มีคุณค่า และลึกซึ้ง ซาบซึ้งใจที่สุดในชีวิต
ทริปอินเดียครั้งนี้ ดีงามเกินคาด ขอบพระคุณบุญบารมีของครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง
คุณพ่อคุณแม่และกัลยานมิตรที่เพิ่งภาวนากันมา สัปปายะทุกสิ่ง
“ไหน ใครเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ยกมือขึ้น” พระอาจารย์จากวัดไทย พุทธคยาที่เพิ่งขึ้นมาประจำรถทัวร์ คันที่ 2 ของเรา (เป็นพระอาจารย์ธรรมทูต ที่จะคอยให้ข้อมูลและธรรมะประกอบไปในการเดินทางท่องสังเวชนียสถานทุกแห่งตลอดทริปนี้) เอ่ยถามทักทายพวกเราเป็นประโยคแรก เมื่อรถทัวร์กำลังเคลื่อนเข้าใกล้พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
คนในรถยกมือกันพรึ่บพรั่บ
เราไม่ได้ยก เพราะเคยมาที่นี่แล้วประมาณสิบปีก่อน
แต่แล้ว ประโยคต่อมาจากท่านพระอาจารย์ก็ทำเรา และคนในรถถึงกับอึ้ง
“ที่จริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของพวกเราทุกคน พวก เราล้วนแต่เคยมาที่นี่มาแล้วทั้งนั้น
แทนที่เราจะไปที่อื่น ทำไมเราจึงเลือกมาที่นี่ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เราอาจจำไม่ได้เท่านั้น”
อืม…. ในวัฏสงสารที่มนุษย์เวียนเกิดตายนับไม่ถ้วน เราเป็นมาหมดแล้วทุกอย่าง ไม่เคยมีใคร ไม่เคยเป็นญาติพี่น้องของเราตามที่ครูอ้อยเล่าถอดความจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ในพระไตรปิฏก
เรื่องที่เราทำไว้วันนี้ เมื่อสามวันก่อน หรือวันที่เท่านี้เมื่อปีก่อน เรายังจำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับชาติที่แล้วๆ มา
ขอบคุณพี่เบบี้กับพี่ปัญกาจ ที่ทำให้ปิ่นได้มีประสบการณ์ดีๆ และน่าสนใจของอินเดียเมื่อหลายปีก่อน
และมาครั้งนี้ ยิ่งประทับจิต ประทับใจ
ตอนนั้น นั่งสมาธิยังไม่ค่อยจะเป็นเลย พุทธประวัติ พระไตรปิฏกก็รู้ผิวเผินมาก ขันธ์ 5 ก็ยังไม่รู้ความหมายอะไร
ครั้งนี้ ผ่านการปฏิบัติภาวนากับครูอ้อยพร้อมคุณพ่อคุณแม่ ต่อเนื่องมา 17 ครั้ง ล่าสุดก็เพิ่งซาบซึ้งเพิ่มเติม จากที่ครูอ้อยกรุณาชี้ให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าท่านจะบรรลุธรรมสบายไปท่านเดียวก็สามารถมาตั้งช้านานแล้ว แต่ท่านก็ทรงเมตตามหาศาล เสียสละอย่างยากจะมีใครเสียสละได้ ที่ไปเวียนเกิดตายอีกยาวนานขนาดสี่อสงไขย เศษกำไรแสนกัลป์ (ใครไม่รู้ว่านานเท่าไร search google ดูเอานะ) คือนานโคตรโฮกๆ เพื่อจะได้มาเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งจะมีความสามารถในการถ่ายทอดสั่งสอนผู้คน รื้อสัตว์ขนสัตว์ ให้มีทางออกจากเขาวงกตแห่งความทุกข์ ซึ่งดูไม่น่าจะมีทางออกได้ แต่ท่านก็ได้เบิกทางให้เดินตามแล้วว่า มันมีนะ ทางนี้
ซึ่งล่าสุด เข็มทิศภาวนา 17 ครูอ้อยมีจัดให้สวดบทพระสูตร…แบบว่ายาวมาก พระพุทธเจ้าท่านสอนได้ละเอียดมาก ยกตัวอย่างทุกรูปแบบ เรียกว่า ไม่เก็ตตัวอย่างที่ 1 มันต้องพอเลาๆ บ้างล่ะ ในตัวอย่างที่ 5 อะไรแบบนี้ เรียกว่าอธิบายทุกแง่มุมมากสุดๆ เซียนเทพมากๆ
ซึ่ง ลำพังแค่อ่าน ยังแอบมีเหนื่อย ขนาดอ่านไม่จบพระสูตร 1 บทเลยด้วยซ้ำ แต่นี่ท่านอธิบายจบบท สอนเอง อธิบาย ยกตัวอย่างเอง ท่านต้องใช้พลังระดับไหน พระปัญญานี่ไม่ต้องพูดถึง คือ ต้องเป็นเลิศของเลิศของเลิศของที่สุดของที่สุดๆๆๆๆๆๆ ของจักรวาล อธิบายเปรียบเทียบได้เลิศมว๊ากกกกกแล้วท่านเหนื่อยสั่งสอน เพื่ออะไร ถ้าไม่ใช่พระพุทธเมตตา ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ที่ยังมืดบอดหลงทาง
อาจเพราะซาบซึ้งทั้งหมดนี่ มาครั้งนี้
เพียงแค่เดินเข้าสู่บริเวณของพุทธคยาก็น้ำตาไหลแล้ว
อากาศเย็นๆ เรา ทุกคนต้องถอดรองเท้า
ใส่ถุงเท้าได้ พื้นเย็นๆได้ยินคำสวดภาษาบาลีที่คุ้นเคย มีพระสงฆ์ทั้งจากไทย จีน ภูฏานและทุกสารทิศทั่วโลก มากันที่นี่
พระพุทธคยา ตั้งตระหง่าน ผู้คนเดินเวียนซ้าย รอบๆ มีพุทธศาสนิกชน ไหว้บ้าง สวดมนต์บ้าง นั่งสมาธิบ้าง ทั้งชาวเอเชีย และยุโรป
เดินวนครบรอบ เราก็ทยอยต่อคิวเข้าไปกราบพระพุทธรูปด้านในเจดีย์พุทธคยา
พอเดินเข้าไปลึกๆ หญิงชาวอินเดียพูดอะไรสักอย่าง กวาดเราเข้าไปข้างใน แล้วปิดประตูเหล็ก สักพักจะเอากุญแจมาล็อคขังพวกเราไว้ ทำไมเวอร์ชั่นนี้มาแปลก คนก่อนหน้าสวดกันเป็นรอบๆ แล้วล็อครอรอบถัดไปแบบนี้ด้วยเหรอ
จนมีผู้ชายอินเดียพูดภาษาอัวกฤษอีกคนมาบอกว่า เดี๋ยวจะสวดกัน 1 ชม ห้ามออกมานะ
ชะโงกไปดูด้านหน้า เป็นพระทิเบต หรือภูฏาน นั่งสวดกันเต็ม พวกเราทีมเข็มทิศอินเดียจึงบอก ขอออก นางจึงไขกุญแจให้พวกเราเรียกกันออกมาทัน
เราเดินวนไปด้านต้นพระศรีมหาโพธิ
มีวิธีอธิฐานจิตที่น่าสนใจ คือ เอาใบหน้า จมูก หน้าผาก แนบไปกับบริเวณผนังตรงต้นโพธิ
รู้สึกถึงบางสิ่ง น้ำตาไหลอีกแล้ว
เมื่อพวกเราเดินไปบริเวณร่มไม้ใต้ต้นโพธิ โชคดีมากที่พระทิเบตเพิ่งสวดเสร็จ ที่จึงถูกปูผ้าพลาสติก เตรียมไว้แล้ว และว่างพอสำหรับพวกเราเกือบแปดสิบคนได้นั่งสมาธิ ณ จุดนี้
สัปปายะ และฟินมากบอกเลย อากาศเย็นสบายมาก
และคำอธิบายจากพระอาจารย์ ถึงต้นไม้นี้ ที่ต้นนี้เป็นต้นที่สี่ อายุเท่าพระพุทธเจ้า
ท่านเล่าถึงจอมมารที่ยกทัพมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แต่ท่านได้อธิษฐานจิต ระดับว่า
ถ้าไม่บรรลุธรรม จะไม่ลุกจากที่นั่ง
และ ต่อให้เลือดเหือดแห้งไป ก็จะภาวนาจนกว่าจะบรรลุ (ระดับเอาชีวิตเข้าแลกได้)
แล้วท่านก็ได้ตรัสรู้ และทบทวนข้อธรรม ในเวลาต่างๆ ที่ใต้ต้นโพธินี้
แล้วพวกเราก็น้ำตาไหลซาบซึ้งเข้าไปใหญ่ เมื่อครูอ้อยส่งเสียงสงบเย็นบอกพวกเราว่า
ให้เรานั่งภาวนา เหมือนเรานั่งอยู่หน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้า
จำได้ขึ้นมาอย่างชัดเจน ถึงหน้าที่ที่ทำไมเราจึงต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
คำตอบสำหรับคำถามของเป้าหมายว่า เราเกิดมาทำไม
อะไรคือสิ่งที่เราตามหา
เมื่อเรากราบระลึกคุณพระพุทธเจ้าสำหรับวันนี้แล้ว พวกเราก็เดินออกมา ตะลึงกับภาพที่ครูเชิญพวกเราในชุดขาว ยืนลดหลั่นกันเต็มแผงบันไดตรงหน้าพุทธคยา
เราทุกคน ซึมซับภาพเจดีย์พุทธคยาเบื้องหน้า อย่างซาบซึ้ง
ถึงพุทธคุณของพระพุทธเจ้าอย่างเข้าเนื้อใน
ใครได้เห็นภาพพวกเรายืนเต็มพลังกันอยู่ตรงนั้นก็คงตะลึงไปด้วย
คล้ายคำมั่นสัญญา ว่า เราจะไม่ลืม และไม่พลาดในการปฏิบัติ
และเดินตามทางและคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ลำบากสาหัส กว่าจะตรัสรู้ กว่าจะสั่งสอนด้วยพระมหากรุณาธิคุณเต็มเปี่ยม
ซึ้งถึงกึ๋น
กราบระลึกคุณพระพุทธ
กราบระลึกคุณพระธรรม
กราบระลึกคุณพระสงฆ์
ขากลับโรงแรม ได้ชมพิธีแห่ขันหมากชาวอินเดีย
เจ้าบ่าวเตันเก่ง
เจ้าสาวสวยมาก
(ดูเพลินเกินกดชัตเตอร์ ไม่ทัน)
คนอินเดียโบกมือทักทายพวกเราบนรถ ซึ่งโบกมือทักทายให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม
เบิกบานทั่วหน้า เฟรนด์ลี่ทั่วหน้า
ขอกราบขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ ที่ทำให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ และได้พากันมาอินเดียและสังเวชนียสถานพร้อมกันเมื่อประมาณสิบปีก่อนพร้อมญาติๆ เรา
ขอกราบขอบพระคุณครูอ้อยเป็นอย่างสูง สำหรับทริปอินเดียที่มีคุณค่า มีความหมาย และวิจิตรในจิตใจได้ถึงขนาดนี้ เป็นบุญของครอบครัวเรามากที่ได้มาเป็นลูกศิษย์คุณครูที่เป็นเลิศทั้งปัญญาและบารมีขนาดนี้
ขอบพระคุณเอ้ พี่ปุ้กและทุกท่านที่มีส่วนร่วมในทริปนี้อย่างที่สุด มันเลอค่าสุดยอดมากๆ ซาบซึ้งใจมากจริงๆ
ขอขอบคุณพี่น้องที่ทำงานทุกคน และทุกสิ่งอย่าง ที่ทำให้เข้าร่วมทริปนี้ได้ค่ะ
#หนึ่งในทริปที่ดีระดับสูงสุดในชีวิต
ปล. บริเวณพุทธคยา เราได้รับคำแนะนำจากพระอาจารย์เรื่องการรักษาใจว่า
ถ้ามีคนมาขายของ และเราไม่ได้สนใจซื้อ ขอให้เรามุ่งมั่นเดินไป แล้วใช้คาถาหลวงพ่อเฉย คือ
ไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่เจรจา
ไม่รำคาญ เบิกบานตลอดทาง
(ไม่แม้แต่จะพูดว่า no มิฉะนั้น จะเป็นการให้ความหวังกับเขา )
ขอบคุณภาพถ่ายเลอค่า จากกล้องของพี่เอ, อิท, ซัน, พี่ปุ๋ม, นพ
อ่านตอนที่ #day2 ได้ต่อที่ http://pintooh.com/?p=1106