ได้อ่านบทความของ Claire Hodgson จาก http://goo.gl/D0xi53 น่าสนใจดี
แปลเรียบเรียงมาฝากเพื่อนๆ ค่ะ >>>
“หนึ่งในความรู้สึกที่จะทำให้เราเป็นอิสระที่สุดที่เราจะเรียนรู้ได้ในชีวิตก็คือ เราไม่จำเป็นต้องชอบทุกคน และทุกคนไม่จำเป็นต้องชอบเรา และมันโอเคอย่างสมบูรณ์”
(นิรนาม)
ฉันมีอะไรจะสารภาพ…ฉันเพิ่งฟื้นจากอาการตามใจคนอื่น
ถ้าฉันได้เงินหนึ่งดอลลาร์ ทุกครั้งที่ฉันไปทำในสิ่งที่ฉันไม่อยากจะทำ เพียงเพราะฉันไม่อยากให้คนอื่นโกรธ หรือผิดหวังถ้าฉันปฏิเสธ ฉันคงจะเป็นคนรวยไปแล้ว
ที่ฉันบอกว่า ฉันฟื้นจากอาการนั้นก็เพราะ บางครั้งฉันก็ยังไหลไปอยู่บริเวณที่มีแนวโน้มจะเอาความต้องการของคนอื่นมาก่อนตัวเอง
การเอาความต้องการของคนอื่นมาก่อนตัวเองในที่นี้ ที่ฉันเรียกว่าเป็นพวกขี้เอาใจคนอื่น ฉันไม่ได้หมายถึงการกระทำเพื่อช่วยคนอื่น หรืออยู่ตรงนั้นเพื่อเขา ตามที่คุณต้องการ
ถ้าคุณอยากช่วยใคร หรือคุณอะลุ่มอะล่วยกับใครที่คุณใส่ใจ โดยดีกับทั้งสองฝ่าย…อันนี้โอเค
แต่สำหรับพฤติกรรมการขี้เอาใจคนอื่นมันไปไกลกว่านั้น มันกลายเป็นนิสัยที่ทำร้ายกันเพราะ
- คุณพูดว่า “ใช่” กับบางสิ่งที่คุณไม่ได้อยากทำจริงๆ เพื่อที่จะทำให้ใครบางคนมีความสุข และจะได้มีชีวิตที่ง่าย
- คุณรู้สึกไม่สบายใจกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ แต่ยังคงทำแบบนั้นต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการถูกขอให้ทำบางอย่างที่ไม่จริงใจ หรือ ไม่สอดคล้องกับค่านิยมของคุณ
- คุณรู้สึกหมดแรงและว่างเปล่าจากการเอาความต้องการของคนอื่นเข้ามาก่อนของตัวเองและไม่ให้เวลาตัวเองได้ใส่ใจตัวเอง
- เมื่อไหร่ที่คุณบอกว่า “ไม่” (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม) คุณก็จะรู้สึกผิดอีกนานเลยหลังจากนั้น
และนี่คือ 5 วิถีและแนวคิดที่มันใช้ได้ผลสำหรับฉัน
-
อยู่กับความจริงข้อนี้อย่างสงบ ความจริงที่ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบคุณ …และมันโอเคมากๆ
ประโยคเปิดบทความนี้บอกแล้วทุกสิ่งอย่าง เรื่องนี้ทำให้ความคิดของฉันเปลี่ยนไปในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เมื่อฉันตัดสินใจว่า พอคือพอ ต่อไปนี้ฉันจะเริ่มให้ความสำคัญกับตัวเองก่อนล่ะ
เมื่อไหร่ที่ฉันรู้สึกว่า สัญชาตญาณแห่งการเอาใจคนอื่นโผล่ขึ้นมาล่ะก็ ฉันจะใช้เวลาระลึกว่า “มันไม่เป็นไรเลยถ้าจะมีคนไม่ชอบฉัน” ฉันไม่ได้ชอบทุกคน และทุกคนก็ไม่จำเป็นต้องชอบฉัน
ตามลักษณะของพวกขี้เอาใจคนอื่น สิ่งขับเคลื่อนให้เรามีพลังทำทุกสิ่งก็คือ เพื่อให้บางคนชอบเรา มันเป็นเช่นนั้นเพราะการเห็นคุณค่าในตัวเองระดับต่ำอย่างรุนแรง
โดยพื้นฐานแล้ว เมื่อคนชอบคุณ คุณก็จะชอบตัวเอง เมื่อไหร่ที่เขาไม่ชอบคุณ ความเห็นเกี่ยวกับตัวเองของคุณก็จะตกตามไปด้วย
วิธีดีที่สุดที่จะช่วยลดความต้องการได้รับการยืนยันจากคนอื่น เพื่อจะได้รักตัวเองนั้น คือ การเพิ่มความการเห็นคุณค่าในตัวเอง (Self –esteem)
จุดเริ่มต้นคือ ทำลิสท์สิ่งที่คุณรักเกี่ยวกับตัวเอง อย่างน้อย 10 รายการก่อนในเบื้องต้น แล้วเอามาดูบ่อยๆ และเพิ่มรายการขึ้นอย่างสม่ำเสมอ แล้วเริ่มดูแลตัวเองอย่างที่คุณดูแลคนที่คุณรัก หรือเพื่อนที่คุณรักมากๆ แล้วเริ่มเชื่อมโยงกับต้นแบบ..คนที่รักและยอมรับตัวเองแบบที่เขาเองเป็น สร้างโมเดลพฤติกรรมของพวกเขาจนกว่าจะกลายเป็นสไตล์ของคุณ
-
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธในวิถีที่คุณรู้สึกโอเค (ไม่จำเป็นต้องขอโทษ!)
“ไม่” เป็นคำที่พวกเราควรทนใช้ให้บ่อยขึ้น
มีกี่ครั้งที่คุณบอกว่า ไม่ ตามการตัดสินใจของคุณแต่เพราะถูกกดดันจากคนอื่น
ฉันเคยทำแบบนั้นตลอดเลย หรือไม่ฉันก็จะพูด “ไม่” แล้วก็ขอโทษหลายรอบมากเพื่อตัดสินการตัดสินใจของฉัน
สิ่งที่สร้างข้ออ้างมากกว่าจะให้คำปฏิเสธที่มั่นคงและจริงใจ …ก็คือการเปิดให้เกิดการเจรจาต่อรองกับอีกคน ถ้ามันเกิดขึ้น อาการขี้เอาใจที่คุณมีอยู่ข้างในก็จะยอมและคุณก็จะต้องทำสิ่งที่คุณไม่อยากจะทำ แล้วเอาตัวเองไว้ทีหลังอีก
ดังนั้น คุณจะเลิกพฤติกรรมนี้ยังไง ปฏิเสธในวิถีที่ทำให้รู้สึกดีกับตัวเอง แต่ชัดเจนมั่นคง
คุณไม่จำเป็นต้องตอบแค่คำเดียว แต่ควรจะจริงใจ เช่น “ฉันอยากจะช่วยนะ แต่เสียดายที่ฉันจองเป็นวันของตัวเองไปแล้วอ่ะ”
หรือ “ฟังดูเป็นโอกาสที่สุดยอดมาก แต่ฉันคิดว่าใครบางคนอาจจะช่วยได้ดีกว่านะ”
จงเกาะติดกับคำตอบต้นฉบับแล้วถ้าใครพยายามจะต่อรอง เพียงแค่ยืนยัน พูดซ้ำคำตอบเดิมอย่างมั่นคงก็พอ
-
จงยอมรับว่าคุณจะรู้สึกผิดหากคุณปฏิเสธกับบางสิ่งในช่วงสองสามครั้งแรก
นักตามใจคนมักรู้สึกผิดเวลาที่ต้องปฏิเสธคำขอร้อง คุณอาจรู้สึกว่าเห็นแก่ตัวไปรึเปล่า หรือคุณทำให้ใครผิดหวังรึเปล่า ..นี่คือความรู้สึกผิด ที่ผิดที่ผิดทาง
คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนะ แล้วคนนั้นก็จะสามารถหาใครคนอื่นเพื่อแก้ไขปัญหาของเขาได้ในที่สุดเอง
เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกผิด จงโอบรับความรู้สึกนั้น แต่คิดว่า คุณจะรู้สึกแย่กว่าอีกกี่เท่าถ้าหากคุณตอบ โอเค ทั้งที่คุณไม่อยากจะทำ
แนวโน้มก็คือ มันมักทำให้คุณรู้สึกแย่ลงไปอีก โปรดจำไว้ว่า ความรู้สึกผิดนั้นจะสลายตัวไปอย่างไว
ถ้าคุณรู้สึกแย่มากล่ะก็ หยิบสมุดขึ้นมาแล้วเขียน ข้อดี ข้อเสีย จากการตัดสินใจ
-
เริ่มสร้างเส้นเขตแดน
มันโอเคที่จะคิดถึงตัวเองก่อน
ที่จริงแล้ว คุณจะมีความสุขขึ้น มีประสิทธิภาพขึ้น และน่าทึ่งมากขึ้นถ้าคุณเป็นแบบนั้น
วิธีดีที่สุดที่จะทำได้คืออะไร? สร้างเส้นเขตแดน เมื่อไหร่ที่เรามีจุดยืนไม่เพื่ออะไรสักอย่าง เราจะล้มลงในทุกสิ่ง ทุกถิ่นที่ อย่างที่พวกเขาบอก
จงหาสถานที่เงียบสงบ ที่คุณจะไม่ถูกรบกวน แล้วใส่รายการที่คุณได้ทำในช่วง 3-6 เดือนที่คุณไม่อยากจะทำ
เมื่อคุณได้ลิสท์นี้มาแล้ว อ่านมันแล้วเขียนถึงเหตุผลที่คุณไม่อยากทำแต่ละอย่าง คุณอาจสังเกตว่า มันมีเหตุผลบางอย่างที่คล้ายๆ กัน เช่น มันกินเวลาสำหรับครอบครัวของฉันไป, มันทำให้ฉันเหนื่อยเกินไป, มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำอย่างสบายใจเพราะ…
ใช้เหตุผลเหล่านี้ สร้างขอบเขตอาณาบริเวณสำหรับตัวเอง เช่น
- การนอนให้พอ สำคัญสำหรับฉัน ถ้าอะไรทำให้ฉันนอนแปดชั่วโมงต่อคืนไม่ได้ ฉันจะปฏิเสธ
- ฉันไม่อยากอยู่ใกล้คลื่นพลังงานลบ ถ้าหากมีอะไรส่งให้เราเข้าใกล้คลื่นพลังงานลบ ฉันจะไม่ทำ
- ถ้ามีอะไรมาสกัดขัดขวางฉันจากคุณค่าแห่งความซื่อสัตย์และศีลธรรมของฉัน ฉันจะปฏิเสธ
เริ่มโดยจัดตัวเอง 4-5 เส้นเขตแดนก่อนเป็นเบื้องต้น แล้วฝึกสนับสนุนสิ่งเหล่านั้นตลอดช่วง 2-3 เดือน
คุณจะสามารถเพิ่มรายการขึ้น แล้วค่อยๆ สร้างขอบเขตที่ทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่คุณยอมรับได้ และอะไรที่คุณยอมรับไม่ได้ในชีวิต
-
ลาขาดจากมนุษย์ที่หลอกใช้ความใจอ่อนของคุณ
มันมีคนที่พยายามเอาเปรียบคุณจากพื้นฐานที่ดีของคุณ
เมื่อไหร่ที่เราเพิ่มระดับการเห็นคุณค่าในตัวเอง แล้วเริ่มให้เกียรติตัวเอง ให้เอกสิทธิ์กับตัวเอง คุณจะเริ่มเห็นคนที่พยายามลักลอบใช้ความที่คุณชอบตามใจคนอื่น มาเป็นผลประโยชน์ของตัวเอง
พวกเขาจะเป็นคนที่พยายามล้ำเส้นคุณ ไม่ว่าคุณจะปฏิเสธกี่ครั้งก็ตาม เขาก็จะล้ำเส้นอยู่เสมอ
สิ่งดีที่สุดที่ควรทำคือ ปล่อยให้คนเหล่านี้ล้มหายตายจากไปจากชีวิตของคุณ แล้วยอมรับบทเรียนที่พวกเขาสอนเกี่ยวกับคุณว่า คุณคือใคร อะไรที่คุณต้องการในชีวิต
หากไม่สามารถปล่อยให้บุคคลเหล่านั้นหายไปจากชีวิตได้ ถ้าเขาเป็นครอบครัว ก็จงสร้างระยะห่างที่พอควรแล้วจัดการประชุมที่คุณจะได้พูดกับพวกเขา เพื่อยืนยันถึงอาณาเขตของคุณว่าอยู่ตรงไหน
โปรดระลึกไว้ว่า นี่คือกระบวนการ ถ้าคุณไถลกลับไปสู่พฤติกรรมเก่า ก็อย่าตบตีก่นด่าตัวเองให้มากไปนัก แต่ให้พยายามสร้างความก้าวหน้าอยู่เสมอ แล้วชีวิตตลอดจนระดับการเห็นคุณค่าในตัวเองของคุณจะดีขึ้น!
……………………………………………………………………………..
เคยใช้วิธีไหน หรือทดลองทำตามนี้แล้วคิดว่าเป็นไง แชร์กันบ้างนะคะ
ภาพ : gozamos.com เรื่อง http://goo.gl/D0xi53